วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2565 เวลา 09.30 น. ณ อาคารอเนกประสงค์ กรมประมง ดร.อาร์เน่ ฟเยอทอฟท์ เลขาธิการผู้ก่อตั้งมูลนิธิเวิลด์วิว อินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมด้วยนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิ เวิลด์วิว ไคลเมท และนายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการดำเนินงานกิจกรรมด้านการป้องกัน ฟื้นฟู อนุรักษ์ และพัฒนาระบบนิเวศทางทะเลและความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย ประสานความมุ่งมั่นในการการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งสู่การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกต่างตื่นตัวและให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเล เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น การปล่อยมลพิษทางน้ำ การทำประมงที่เกินศักยภาพ ล้วนส่งผลกระทบต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ กรมประมงในฐานะหน่วยงานภาครัฐซึ่งมีภารกิจในการศึกษา วิจัย และพัฒนาด้านการประมงเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมและสามารถใช้ประโยชน์สำหรับการประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน
จึงได้ประสานความร่วมมือกับ มูลนิธิเวิลด์วิว อินเตอร์เนชั่นแนล (WIF) และมูลนิธิ เวิลด์วิว ไคลเมท (WCF) ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนการปกป้องและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมรวมถึงการพัฒนาความเป็นอยู่อย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย การพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals: SDGs) ในเป้าหมายที่ 13 Climate Action และเป้าหมายที่ 14 Life Below Water รวมถึงสนธิสัญญาปารีส
(Paris Climate Agreement) ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการดำเนินงานกิจกรรมด้านการป้องกัน ฟื้นฟู อนุรักษ์ และพัฒนาระบบนิเวศทางทะเลและความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์แหล่งอาศัยและความหลากหลายของสัตว์ทะเลในพื้นที่ชายฝั่งทะเล พร้อมขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคมสู่การสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับชุมชน เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นด้วย โดยในส่วนของกรมประมง ได้มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวประมงมีการใช้ประโยชน์
จากทรัพยากรสัตว์น้ำในปริมาณที่เหมาะสม เป็นไปตามหลักวิชาการ ไม่ให้เกินกำลังการผลิตของธรรมชาติ
พร้อมฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำและระบบนิเวศทางทะเล เช่น การจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล (ปะการังเทียม) การจัดตั้งธนาคารสัตว์น้ำชุมชน การผลิตพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อปล่อยสู่ธรรมชาติ รวมทั้งรักษาพื้นที่ชายฝั่งทะเลให้เป็นพื้นที่เลี้ยงตัวของสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นต้น นอกจากนี้ กรมประมงยังให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยการอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ชายฝั่งทะเลให้เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน เพื่อลดภาวะโลกร้อน ด้วยการจัดทำโครงการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเล ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถดูดซับคาร์บอนไปกักเก็บและเคลื่อนย้ายไปยังพื้นทะเลได้ และยังเป็นการพัฒนาอาชีพและเสริมรายได้แก่ชุมชนและผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่อุปทาน
ทั้งนี้ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการลงนามความร่วมมือ ทั้ง 3 ฝ่ายได้มีการประชุมหารือเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพในหัวข้อต่าง ๆ ได้แก่ แนวทางและโอกาสในการพัฒนาสาหร่ายทะเลในประเทศไทย การพัฒนาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม Blue cabon เช่น สาหร่ายทะเล ป่าโกงกาง และหญ้าทะเล เป็นต้น
อธิบดีกรมประมง กล่าวในตอนท้ายว่า “ถือเป็นการแสดงความมุ่งมั่นของกรมประมงในการประสานความร่วมมือกับมูลนิธิเวิลด์วิว อินเตอร์เนชั่นแนล และมูลนิธิ เวิลด์วิว ไคลเมท ที่จะทำให้การปกป้อง ฟื้นฟู และอนุรักษ์ทรัพยากรประมง รวมถึงระบบนิเวศชายฝั่งของไทยเกิดความสมดุล และมีการใช้ประโยชน์
อย่างยั่งยืน พร้อมเห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว”
Maggi รายงาน